วันนี้ขออีกซักที ว่าทำไมผมถึงไม่เอาด้วยกับนโยบาย “ประชานิยม”
อย่างที่บอกแล้ว ทุนนิยม ก็คือทุนเป็นใหญ่ เสรีนิยม ก็คือเสรีภาพเป็นใหญ่ สังคมนิยม คือสังคมเป็นใหญ่ ส่วนประชานิยม มันก็คือประชาชนเป็นใหญ่ (หรือประชาชนต้องมาก่อน??) นั่นเอง
การที่ประชาชนเป็นใหญ่ ที่จริงเป็นเรื่องที่ดี ในการปกครองระบอบประชาธิปไตย แต่การทำนโยบายที่มุ่งไปเพื่อ “เอาใจ” ประชาชนเป็นหลัก โดยละเลยความเป็นธรรมทางสังคม เป็นเรื่องที่จะส่งผลร้ายมากกว่าผลดี
เพราะถ้ามุ่งไปที่ตัวของคน คนก็มักจะมองไปที่ผลประโยชน์ของตัวเอง หรือพวกพ้อง มากกว่าความถูกต้องที่ควรจะเป็นไปเพื่อความเป็นธรรม ทุกคนก็จะพยายามหาประโยชน์เข้ามาทางฝ่ายตนให้มากที่สุด เหมือนถ้าถามว่า คุณอยากได้อะไร อยากได้เงิน หรือเครื่องมือหากิน ร้อยละเกือบร้อย ก็คงต้องบอกว่า เอาเงินมาดีกว่า ง่ายดี เอาเครื่องมือหากินมา กว่าจะได้เป็นเงิน ก็ต้องทั้งเหนื่อย ทั้งใช้เวลานาน
พอมีนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค บ้านเอื้ออาทร คนไปต่อแถวรับบัตรทอง ต่อแถวไปจองบ้านกันมากมาย คนรวยคนจน ก็ไปต่อแถว ไม่ใช่ช่วยเฉพาะคนที่มีรายได้น้อย บางคนเข้าไปจองบ้าน เพื่อเก็งกำไร สุดท้ายก็ทิ้งใบจองกันเกินครึ่ง เมื่อเห็นว่าเศรษฐกิจแย่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขายไม่ออก
กองทุนหมู่บ้าน ให้คนได้เข้ามากู้เงินง่ายขึ้น ใครอยากจะกู้ทำอะไรก็เสนอแผนเข้ามา กู้ปลดหนี้ หรือกู้ไปก่อหนี้เพิ่ม ซื้อรถ ซื้อมือถือ
มันก็ไม่ต่างกับการที่รัฐเอาเงินไปแจกให้ชาวบ้าน แทนที่จะเอาเงินตรงนี้มาใช้ในการสร้างปัจจัยแวดล้อมในการทำมาหากินของชาวบ้าน ให้สะดวกขึ้น ให้มีค่าใช้จ่ายลดลง ให้เกษตรกรถูกเอารัดเอาเปรียบน้อยลง
นโยบายประชานิยม เป็นการมุ่งเน้นที่จะเอาใจคน เพื่อหวังคะแนนสนับสนุนในการเลือกตั้งเป็นหลัก เมื่อก่อนนโยบายทำนองนี้ก็มีมาคู่การเมืองการเลือกตั้งของเราทุกครั้ง อย่างเช่น การสัญญาว่าจะสร้างสะพาน ตัดถนน ให้กับหมู่บ้านนี้ อำเภอนี้ สร้างเสาไฟฟ้าใหญ่ ๆ ให้กับจังหวัดนี้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการสัญญาจะให้ในระดับท้องถิ่นเท่านั้น จะเห็นเป็นนโยบายระดับชาติ ก็คงจะยุครัฐบาลที่แล้วนี่เอง ที่มีความคิดสร้างสรรค์มาก ในการประยุกต์เอากลยุทธเอาใจชาวบ้าน มาเป็นนโยบายหลัก ที่ทำให้คนรากหญ้าพึงพอใจ โดยไม่มีอะไรกระทบกับโครงสร้างทางสังคม ของคนชั้นสูง หรือพวกมีรายได้สูง ไม่มีการปรับภาษีอัตราก้าวหน้า ไม่มีการจัดเก็บภาษีที่ดินส่วนเกิน ไม่มีภาษีมรดก
แถมยังไม่ต้องเสียภาษีในแบบที่อ้างว่าเป็นเทคนิคทางธุรกิจอีกต่างหาก
เมื่อรากหญ้าพอใจ คนรวยก็ไม่กระทบ ทำไมนโยบายทำนองนี้จึงได้ชนะใจคนส่วนใหญ่ได้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงแนวทางการพัฒนาประเทศที่ควรจะเป็น ไม่ต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมในสังคม
ลูกอมหวาน ๆ บางทีก็เหมาะกับตอนทีกำลังคอแห้ง กินให้ชุ่มคอบ้าง… แต่ลูกอมก็คือลูกอม มันไม่ใช่อาหารจานหลัก ถ้ากินแต่ลูกอมทุกวัน ๆ นอกจากจะฟันผุแล้ว ยังอาจจะทำให้ร่างกายเป็นโรคขาดสารอาหารตายได้ ถ้าไม่มีสารอาหารตกลงท้องเลย
คุณคิดว่า เงินโครงการหมู่บ้านที่รัฐบาลให้กับชาวบ้าน ส่วนใหญ่คนเอาไปทำมาหากิน หรือเอาไปซื้อมือถือ หรือใช้จ่ายฟุมเฟือย อย่างไหนมีมากกว่ากัน
“จะเอาเงินตรงนี้มาใช้ในการสร้างปัจจัยแวดล้อมในการทำมาหากินของชาวบ้าน ให้สะดวกขึ้น ให้มีค่าใช้จ่ายลดลง ให้เกษตรกรถูกเอารัดเอาเปรียบน้อยลง”
กรุณายกตัวอย่างด้วย ว่าควรทำอะไร และอย่างไร
“แนวทางการพัฒนาประเทศที่ควรจะเป็น ไม่ต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมในสังคม”
แนวทางการพัฒนาประเทศที่ควรจะเป็น คืออะไรและควรทำแบบไหนในความคิดคุณ
รบกวนขยายความด้วย
หวัดดีคุณนกยูงครับ
ถ้าจะให้ยกตัวอย่างที่ว่า เอาเงินไปสร้างปัจจัยแวดล้อมให้ชาวบ้านทำมาหากินได้สะดวกขึ้น ให้มีค่าใช้จ่ายลดลง ให้เกษตรกรถูกเอารัดเอาเปรียบน้อยลง ดีกว่าจะเอาไปแจกให้ชาวบ้านเอาไปหมุนกัน ก็เยอะแยะครับ อย่างเช่น
– การลงทุนในระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพ …. บ้านเราอาศัยแต่สร้างถนน ให้รถวิ่ง มากกว่าสร้างระบบขนส่งมวลชน ทั้งในระดับท้องถิ่น และระดับประเทศ บอกไม่มีเงิน ๆ แต่ก็ไม่เริ่ม จนระบบรถไฟของเราแทบจะล้าหลังที่สุดในเอเซีย ทั้ง ๆ ที่เรามีรถไฟเป็นประเทศแรกของเอเซีย จนวันนี้ น้ำมันแพงขึ้น ๆ เราก็ได้แต่รับกรรม เพราะเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรถที่ใช้น้ำมัน
– ระบบสวัสดิการในด้านค่ารักษาพยาบาล ในประเทศยุโรป คนจนที่มีรายได้ต่ำ ไม่ต้องจ่ายค่าประกันสังคม แต่สามารถเข้ารับการรักษาได้เท่ากับคนรวย ที่ต้องจ่ายประกันสังคมในราคาสูง ในอัตราก้าวหน้า ในยุโรป คนชั้นกลางก็ไม่จำเป็นต้องทำประกันชีวิต เพราะประกันสังคม ครอบคลุมค่ารักษาแทบทุกอย่าง ถ้าต้องการตรงไหนเพิ่ม ก็จ่าย option เพิ่มได้ ประกันสังคมบ้านเรา แค่ค่าทำแผลยังไม่พอเลย แล้วก็อ้างว่าไม่มีเงิน
ในประเทศที่พัฒนา เขามีวิธีที่จะดูแลคนที่ด้อยโอกาส หรือมีรายได้ต่ำ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีหลายวิธีมากครับ ต้องศึกษาดู แต่มันไม่ใช่การเอาเงินไปแจกให้เขามีเงินใช้ เพื่อใช้จ่ายให้ได้เท่าคนรวย ยิ่งทำอย่างนั้น ค่าครองชีพก็จะยิ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ
แต่รัฐต้องเอาเงินตรงนั้น มาช่วยอุดหนุน ดูแล ให้คนมีรายจ่ายลดลง ไม่ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลแพง ๆ ไม่ต้องจ่ายค่าเรียนหนังสือ ในที่ดี ๆ เพื่อพัฒนาภูมิปัญญา ไม่ต้องเสียค่าเดินทางแพง ๆ เพราะมีลดหย่อน แม้แต่ค่าที่พัก ก็ยังลดหย่อนให้คนที่มีรายได้ไม่เพียงพอได้
ที่สำคัญ สวัสดิการรัฐที่ว่า ไม่ใช่ว่าใครก็รับได้ คนรวยจะมาแย่งใช้สิทธิได้ แต่ก็ต้องมีการตรวจสอบรายได้ที่ชัดเจน
“แนวทางการพัฒนาประเทศที่ควรจะเป็น” คือการส่งเสริมให้ทุกคนมีโอกาสที่เท่าเทียมกัน ความเสมอภาคในการแข่งขัน คือการเสมอภาคในการเข้าถึงโอกาส ไม่ใช่เสมอภาคในการลงแข่ง แต่เมื่อคนจน ต้องลงแข่งกับคนรวย โดยไม่มี handycap ก็เท่ากับส่งคนจนไปตายอย่างเดียว แต่จะทำอย่างนั้นได้ คนรวยต้องยอมเสียเปรียบ ต้องเป็นผู้เสียสละ อย่างเช่น เสียภาษีในอัตราที่สูงกว่ามาก เสียค่าประกันสังคมในอัตราที่สูง แต่ได้รักษาในมาตรฐานเดียวกัน เสียภาษีที่ดิน ภาษีมรดก ในฐานะที่มีทรัพย์สินมาก เพื่อเอาเงินตรงนี้ไปช่วยคนที่มีทรัพย์สินน้อย
บ้านเราเข้าใจเรื่องความเสมอภาคกันคนละเรื่อง เหมือนชอบตีความให้เข้าข้างตัวเอง คนรวยคือผู้กุมอำนาจในสังคม และออกกฏอะไรก็ได้ที่เขาจะไม่เสียประโยชน์ สุดท้ายคนจนก็แค่โดนหลอกด้วยขนมหวานที่ไม่จริงใจเท่านั้นเอง
ซึ่งนั่นก็แค่ทัศนคติของผมนะครับ ถ้าคุณนกยูงมีความคิดเห็น เหมือนหรือต่างอย่างไร ก็แลกเปลี่ยนกันได้ครับ
สวัสดีค่ะคุณอัฐ(แอบดูชื่อคุณในprofile)
ดิฉันขอออกตัวไว้ก่อนค่ะ ว่าไม่ได้มีความรู้เรื่องสังคมหรือการเมืองมากมายนัก แต่เท่าที่เห็น ปัญหาที่เกิดในประเทศเรามันซับซ้อนเหลือเกินค่ะ การมองเห็นปัญหาที่ลึกลงไปมันก็ไม่ง่ายนัก ยิ่งการลงมือแก้…ความยาก…คงไม่ต้องพูดถึง
ดิฉันพูดอย่างคนที่ไม่ค่อยมีความรู้ความเข้าใจมากนักนะคะ
อย่างเรื่องรัฐสวัสดิการทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเรียนฟรี หรือ30 บาท รักษาทุกโรค
โดยแนวคิดแล้ว มันเป็นสิ่งที่ดี และประเทศที่เจริญแล้วเค้าก็ทำกันอยู่ แต่ตามที่คุณว่ามา มันมีข้อเสียอยู่ที่ คนรวยก็มาแย่งใช้สิทธิ์ ซึ่งถ้ามีการแก้ไขปัญหาตรงนี้ได้ก็สมควรทำต่อไป ดิฉันเข้าใจถูกมั้ยคะ
แล้วการจะให้คนรวยเป็นผู้เสียสละ ไม่ว่าจะเป็นภาษีที่ดิน หรือภาษีมรดก ฯลฯ …อันนี้มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ในเมื่ออำนาจการเขียนกฏหมายอยู่ในมือคนมีเงินทั้งนั้น เมื่อเป็นดังนี้คงต้องมีคนรวยที่มีจิตสำนึกในความเสียสละที่สูงมากๆนะคะ และเป็นจำนวนไม่น้อยด้วยถึงจะทำสำเร็จ
ท้ายสุด คุณมีความเห็นว่าควรทำอย่างไร บ้านเมืองเราถึงจะหลุดพ้นวังวน(ที่ผู้มีอำนาจทั้งหลายครอบงำและบงการประเทศให้เป็นไปในทิศทางที่ตัวเองต้องการ)นี้ไปได้และคนจนจะไม่โดนหลอก(หรืออาจเต็มใจให้หลอก) ด้วยขนมหวานที่ไม่จริงใจนี้อีกต่อไป
ปล.ขออภัยที่อาจเรียบเรียงคำพูดไม่ค่อยไหลรื่นเท่าที่ควรนะคะ และขอบคุณที่สละเวลามาพูดคุยแลกเปลี่ยน ให้ความเห็น และให้ความรู้ค่ะ ^ ^
ขอเสริมอีกนิดค่ะ เรื่องกองทุนหมู่บ้าน ดิฉันคิดว่า ไม่มีโครงการไหนที่จะได้ผล 100 % แต่ถ้ามีส่วนดีมากกว่าส่วนเสีย ก็นับว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว
คือดิฉันเห็นว่ามีไม่น้อยที่ชาวบ้านก็เอาเงินไปต่อยอดทำมาหากิน บางคนอาจจะไม่มีเครดิตที่จะไปกู้แบงค์ได้ หรือบางคนต้องทนให้คนรวยเอาเปรียบอีกทอดจากดอกเบี้ยแสนโหด
ส่วนเรื่องเอาเงินไปซื้อของฟุ่มเฟือย อย่างโทรศัพท์หรือมอเตอร์ไซต์ แต่ดิฉันคิดว่ามีความจำเป็นอยู่ ซึ่งดิฉันมองว่าไม่ได้เป็นความเลวร้ายขนาดนั้นค่ะ
แต่ก็เห็นว่าควรทำในระยะสั้นเท่านั้น ไม่ควรทุ่มงบประมาณลงไปเรื่อย ๆ แต่ให้อยู่เป็นทุนหมุนเวียนในหมู่บ้านต่อไป ซึ่งชาวบ้านก็จะต้องสอดส่องดูแลและจัดการกันเองโดยมีรัฐเป็นพี่เลี้ยง ซึ่งความฉ้อฉลภายในแต่ละหมู่บ้านมันก็เป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าโครงการระดับไหน
เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ ดิฉันอาจจะมองได้ไม่รอบด้าน ถ้าคุณมีอะไรชี้แนะก็ยินดีค่ะ ^ ^
เรื่องทำไงถึงจะหลุดพ้น … อันนี้พูดยากจริง ๆ ครับ ไม่รู้ว่าบ้านเราจะมีวันนั้นมั๊ย เพราะอะไร ๆ มันฝังรากมานานมาก คนไทยก็ชอบเป็นผู้ตามมากกว่าผู้นำ ไม่ชอบความเปลี่ยนแปลง ชอบใจแค่ผลประโยชน์ตรงหน้าของตัวเอง โดยไม่สนใจว่าผลกระทบวันข้างหน้าคืออะไร ผลกระทบต่อคนรอบข้างคืออะไร ความถูกต้องที่ควรคืออะไร
ทางแก้มันอาจจะต้องเริ่มจาก มีผู้นำที่เข้มแข็งมาก ๆ แต่ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว สามารถคานอำนาจกับกลุ่มทุนได้ ได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นกลาง ถึงล่าง เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป ทั้งเสียงส่วนน้อยและเสียงส่วนใหญ่ และต้องเป็นคนที่เสียสละจริง ๆ ไม่ว่าจะตรวจสอบอย่างไร ก็โปร่งใส ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน เข้าใจหลักการที่แท้จริงของประชาธิปไตย ไม่ใช่แค่ลมปาก
แต่ก่อนจะมีวันนั้นได้ ประชาชนคงจะต้องมีสำนึกที่ดีพอที่จะมองเห็นว่าผู้นำที่ดีเป็นอย่างไร
เพราะการแก้ปัญหา มันไม่ใช่แค่บังคับทิศทางรถ เลี้ยวผิดก็เลี้ยวใหม่ แต่มันคงต้องถอนรากถอนโคนหลาย ๆ อย่าง เพื่อสร้างสิ่งที่ถูกต้องให้เกิดขึ้น ต้องเป็นผู้นำในการเปลี่ยนความคิดคนไปสู่สิ่งดีงาม ไม่ใช่ทำเรื่องแย่ ๆ แล้วบอกว่าใคร ๆ ก็ทำ
คนพวกนี้ ไม่ใช่ไม่มีในโลก แต่ในบ้านเรากลับหาไม่เจอ
แต่อย่างน้อย ผมก็เชื่อว่าในหลวงเป็นผู้นำแบบนั้น เพียงแต่ท่านไม่มีอำนาจในมือที่จะพลิกอะไรได้ ถ้าท่านเป็นผู้นำแบบผู้ปกครองประเทศจริง ๆ ก็เชื่อว่าคงมีคนสาดโคลนท่านอยู่ดี แต่ก็ยังเชื่อว่างานที่ท่านทรงทำมาตลอดชีวิต เป็นการทำเพื่อส่วนรวมโดยไม่มีผลประโยชน์แอบแผงจริง ๆ
นักการเมืองต่างประเทศที่เจริญแล้ว เขาเป็นนักการเมืองมืออาชีพจริง ๆ เข้ามาเพื่อทำงาน เพื่อแก้ปัญหา สร้างผลงาน ไม่ใช่เข้ามาเพื่อกอบโกย เขามาแบบถือว่าเป็นพนักงานบริษัท เป็น CEO ไม่ใช่เข้ามาแบบเป็นเจ้าของประเทศ ไม่ใช่เข้ามาแล้วถืออภิสิทธิทุกอย่าง แต่เข้ามาแล้วต้องอยู่ใต้กฎเดียวกันกับประชาชนคนอื่น ๆ และไม่สามารถมากอบโกยอะไรไปเป็นส่วนตัวไม่ได้
คุณนกยูงอย่าเพิ่งหยุดคุยนะครับ เราแลกเปลี่ยนความคิดต่อไปเรื่อย ๆ ได้นะครับ
หวัดดีคุณอัฐค่ะ
วันนี้ไปอ่านเจอในประชาไทมา คุณอัฐมีความเห็นอย่างไรกับแนวคิดในกระทู้นี้คะ
เห็นด้วยหรือเห็นแย้งในประเด็นใดบ้างคะ
http://www.prachatai.com/webboard/topic.php?id=705461
ตอบคุณนกยูงไปที่หัวข้อใหม่แล้วนะครับ
เชิญร่วมเสวนาแลกเปลี่ยนกันนะครับ